
Stablecoin คืออะไร?
Stablecoin คือสกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซีประเภทหนึ่งที่มูลค่าถูกผูกไว้กับสินทรัพย์อื่นที่มีความ “คงที่” มากกว่า เช่น ดอลลาร์สหรัฐ, ยูโร หรือทองคำ
ในขณะที่คริปโทเคอร์เรนซีขนาดใหญ่ส่วนมากมีความผันผวนสูง หลายคนจึงมองว่าสินทรัพย์เหล่านี้ไม่เหมาะจะใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน เนื่องจากมูลค่าที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ในปี 2010 Bitcoin หนึ่งเหรียญอาจซื้อได้เพียงลูกอม แต่ในวันนี้มูลค่าเหรียญเดียวอาจเท่ากับราคาของรถยนต์ ในขณะที่สกุลคริปโทอื่น ๆ กลับมีมูลค่าลดลงมากเท่ากับที่ Bitcoin เพิ่มขึ้น ความผันผวนแบบนี้ทำให้ผู้ใช้งานต้องการสินทรัพย์ที่มีความเสถียรมากกว่าเมื่อใช้ทำธุรกรรม
Stablecoin จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้ โดยลดความผันผวนของราคา ทำให้เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันมากขึ้น ด้วยข้อดีอย่างเช่นการชำระเงินข้ามพรมแดนโดยไม่ต้องพึ่งธนาคาร ค่าธรรมเนียมที่ต่ำ การเก็บสินทรัพย์ไว้ด้วยตัวเอง (Self-custody) และการผสานความมั่นคงของสกุลเงิน Fiat (เงินสกุลดั้งเดิม) เข้ากับความยืดหยุ่นของสินทรัพย์ดิจิทัล จึงไม่น่าแปลกใจที่ Stablecoin กลายเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก และเพื่อทำความเข้าใจเหตุผลในการเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น เรามาดูกันต่อเลยว่า Stablecoin ทำงานอย่างไร
Bitcoin เป็น Stablecoin หรือไม่?
Bitcoin (BTC) ไม่ใช่ Stablecoin เพราะ Stablecoin มีเป้าหมายเพื่อรักษามูลค่าคงที่ผ่านสกุลเงิน Fiat หรือสินทรัพย์อื่นเช่นทองคำ มูลค่าของ Bitcoin ผันผวนเมื่อเทียบกับ Stablecoin หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Bitcoin คลิกที่นี่
เราสามารถใช้ Stablecoin ทำอะไรได้บ้าง?
โดยทฤษฎีแล้ว แม้ Stablecoin จะดูน่าสนใจ แต่คำถามคือ มันสามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันหรือไม่? คำตอบคือ ได้แน่นอน และต่อไปนี้คือตัวอย่างการใช้งาน Stablecoin ในโลกจริง:
- เก็บรักษามูลค่า: เมื่อเทียบกับคริปโทเคอร์เรนซีทั่วไปที่มีราคาผันผวน มูลค่าของ Stablecoin มักคงที่ตามสินทรัพย์ที่มันผูกไว้ จึงเหมาะสำหรับผู้ถือที่ต้องการรักษามูลค่าของสินทรัพย์ไว้
- ซื้อขายสินทรัพย์: ในการเทรดคริปโทเคอร์เรนซี ผู้ใช้สามารถใช้ Stablecoin เป็นคู่เทรดเพื่อลดความเสี่ยงของความผันผวนและช่วยให้เปรียบเทียบราคาได้เห็นภาพมากขึ้น
- สร้างรายได้จากดอกเบี้ย: ผู้ถือสามารถปล่อยกู้ Stablecoin เพื่อรับดอกเบี้ยได้ อย่างไรก็ตาม บริการ Stake เหล่านี้อาจมีความเสี่ยง และบางประเทศไม่อนุญาตให้ทำ — โปรดศึกษาความเสี่ยงก่อนใช้งานผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ทุกครั้ง
- โอนเงินด้วยค่าธรรมเนียมต่ำ: ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมโอนเงินราคาแพงสำหรับการโอนเงินข้ามประเทศอีกต่อไป Stablecoin ดำเนินการบนเครือข่ายที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ ค่าธรรมเนียมธุรกรรมบางครั้งแค่ไม่กี่เซนต์เท่านั้น นอกจากนี้ Stablecoin ยังไม่จำเป็นต้องใช้บัญชีธนาคารในการโอนเงินทั่วโลกอีกด้วย
- โอนเงินไปต่างประเทศ: ค่าธรรมเนียมธุรกรรมต่ำและการประมวลผลที่รวดเร็วทำให้ผู้ส่ง/รับเงินข้ามประเทศไม่ต้องรอนาน Stablecoin เป็นทางเลือกที่รวดเร็วและประหยัดสำหรับการโอนเงินทั่วโลก การโอน Stablecoin มูลค่า $200 ข้ามประเทศอาจมีค่าธรรมเนียมน้อยกว่า $0.10 เท่านั้นเมื่อเทียบกับค่าธุรกรรมเฉลี่ยทั่วโลกที่ $12 ด้วยวิธีการดั้งเดิม
Stablecoin ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้อย่างไร?
สกุลเงิน Fiat แบบดั้งเดิมหลายประเภทมีแนวโน้มเกิดเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในเศรษฐกิจที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ในทางตรงกันข้าม ดอลลาร์สหรัฐหรือยูโรกลับมีความทนทานต่อเงินเฟ้อมากกว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา Stablecoin อย่างเช่น Tether และ USDC ถูกผูกกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหมายความว่ามันอาจมีอัตราเงินเฟ้อน้อยกว่าสกุลเงินท้องถิ่นของบางประเทศ บุคคลทั่วไปสามารถแลกเงินของตนเป็น Stablecoin เพื่อเปิดรับมูลค่าเทียบเท่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สามารถรักษามูลค่าเงินของตนได้มากกว่าเดิม
ผลลัพธ์คือ Stablecoin ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงโอกาสในการเก็บรักษามูลค่า เช่นเดียวกับผู้ถือเงินดอลลาร์สหรัฐ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ประเทศใดก็ตาม เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตก็สามารถใช้ Stablecoin ในการทำธุรกรรมประจำวันได้แล้ว
Stablecoin มีกี่ประเภท?
Stablecoin มีหลายประเภท แต่ละประเภทใช้กลไกของตัวเองเพื่อรักษามูลค่าให้คงที่
Stablecoin ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันด้วยเงินตรา (Fiat-backed stablecoin) มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาอัตราส่วนสำรอง 1:1 กับสกุลเงินที่อ้างอิง ตัวอย่างเช่น Tether (USDT) ผูกมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 1:1 ซึ่งหมายความว่า 1 USDT ควรได้รับการค้ำประกันด้วยเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐเสมอ และมูลค่ารวมของตลาด (Market Cap) ของ Tether ก็ควรถูกค้ำประกัน 1:1 ด้วยสินทรัพย์จริงเช่นกัน
สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (Central bank digital currency หรือ CBDC) คือเวอร์ชันอิเล็กทรอนิกส์ของเงิน Fiat ความแตกต่างสำคัญระหว่างคริปโทเคอร์เรนซีในตลาดกับ CBDC อยู่ที่ว่า CBDC ได้รับการสนับสนุนและออกโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ โดย CBDC จะผูกกับมูลค่าของเงินตราหลักของประเทศผู้ออก
ในส่วนถัดไป เรามาทำความเข้าใจกันต่อว่า Stablecoin แต่ละประเภทได้รับการหนุนอย่างไร:
- Stablecoin ที่มีเงินตราเป็นหลักประกัน (Fiat-collateralized stablecoin) – เก็บสำรองสกุลเงินจริง เช่น ดอลลาร์สหรัฐไว้ในบัญชีค้ำประกัน เพื่อให้มูลค่าของ Stablecoin คงที่ตลอดเวลา
- Stablecoin ที่มีสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลักประกัน (Commodity-backed stablecoin) – ใช้ทรัพย์สินมีค่าหรือสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ เงิน หรือน้ำมันดิบ เป็นหลักประกันในการค้ำมูลค่าเหรียญ
- Stablecoin ที่มีคริปโทเป็นหลักประกัน (Crypto-collateralized stablecoin) – ผูกมูลค่ากับสกุลคริปโทอื่น เช่น Bitcoin หรือ Ether แต่เนื่องจากสินทรัพย์คริปโทมีความผันผวนสูง เหรียญเหล่านี้จึงต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเกินมูลค่า (Over-collateralization) เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
- Stablecoin แบบอัลกอริทึม (Algorithmic stablecoin) – ใช้กลไกอัลกอริทึมและแบบจำลองเศรษฐศาสตร์เพื่อรักษามูลค่าตลาดให้คงที่ แต่ปัจจุบัน Stablecoin ประเภทนี้ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ในระยะยาวและมีความเสี่ยงสูง หลายโปรเจกต์ในกลุ่มนี้เคยสูญเสียมูลค่าจนเหลือศูนย์ ทำให้เกิดความเสียหายมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
Stablecoin ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดมีอะไรบ้าง?
ตอนนี้เมื่อเราเข้าใจถึงประเภทต่าง ๆ ของ Stablecoin และวิธีการทำงานของ Stablecoin แล้ว เรามาดูรายชื่อเหรียญ Stablecoin ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดกันต่อ
Tether (USDT)
ด้วยมูลค่าตลาดประมาณ 65 พันล้านดอลลาร์ Tether เป็น Stablecoin ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกและเป็น Stablecoin แบบ Fiat-backed รายแรกของตลาดคริปโท USDT ยังมีจำนวนธุรกรรมทั่วโลกมากที่สุด ทำให้เป็น Stablecoin ที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดเช่นกัน แม้จะมีข้อกล่าวหาว่า USDT ไม่ได้รับการค้ำประกันแบบ 1:1 ตามที่อ้าง แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนยืนยันข้อกล่าวหานี้
USD Coin (USDC)
ตามชื่อของเหรียญ USD Coin ถูกผูกมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐ และเป็น Stablecoin แบบ Fiat-collateralized หมายความว่าผู้ใช้สามารถซื้อ 1 USDC ได้ในราคา 1 ดอลลาร์ หรือแลกคืน 1 USDC เป็น 1 ดอลลาร์ได้ทุกเมื่อ ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ มีเหรียญ USD Coin หมุนเวียนในตลาดทั่วโลกรวม 55.8 พันล้าน เหรียญ
Binance USD (BUSD)
BUSD เป็น Stablecoin ที่มีมูลค่าตลาดเป็นอันดับสามในโลก (ประมาณ 17.5 พันล้านดอลลาร์) พัฒนาโดยแพลตฟอร์มกระดานแลกเปลี่ยนคริปโท Binance ร่วมกับ Paxos BUSD เป็น Stablecoin แบบ Fiat-backed เช่นกัน ที่คงอัตราส่วน 1:1 กับดอลลาร์สหรัฐ
Dai (DAI)
Dai เปิดตัวโดย MakerDAO บนบล็อกเชน Ethereum ในปี 2017 เป็น Stablecoin ที่มีคริปโทเป็นหลักประกัน (Crypto-backed) โดยใช้ Ether (ETH) เป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน ในขณะที่มูลค่าเหรียญผูกไว้กับดอลลาร์สหรัฐ ต่างจาก Stablecoin อื่น ๆ DAI เป็นโปรเจกต์แบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ที่ใช้ Smart contract และแรงจูงใจทางเศรษฐกิจเพื่อรักษามูลค่าให้นิ่งอยู่ที่ระดับ 1 ดอลลาร์
TrueUSD (TUSD)
TUSD เป็น Stablecoin แบบ Fiat-collateralized ที่สร้างโดย TrustToken และทำงานบนบล็อกเชน Ethereum แต่ละเหรียญ TUSD ถูกค้ำประกันด้วยเงินดอลลาร์ในอัตรา 1:1 ผู้ใช้สามารถ Mint หรือแลกคืน (Redeem) TUSD ได้ผ่านเว็บไซต์ของ TrustToken โดยตรง
ความเสี่ยงของ Stablecoin มีอะไรบ้าง?
ฟังดูแล้ว Stablecoin อาจดูเหมือนทางออกที่ดีที่สุดระหว่างทั้งสองโลก แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในตัวเองที่ผู้ใช้งานควรเข้าใจให้ถ่องแท้
- การหลุดมูลค่า (Depegging): Stablecoin มีเป้าหมายเพื่อรักษามูลค่าให้คงที่โดยผูกกับสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ “การหลุดมูลค่า” หมายถึงเมื่อเหรียญ Stablecoin มีมูลค่าลดลงจากราคาที่ควรจะเป็น ตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดคือกรณีของ Luna ซึ่งการหลุดมูลค่าทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์
- ความเสี่ยงด้านกฎหมาย: แม้ Stablecoin จะผูกกับสกุลเงินจริง แต่ก็ยังอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนทางกฎหมาย ตัวอย่างเช่น Meta (บริษัทแม่ของ Facebook) เคยมีแผนเปิดตัวเหรียญ Stablecoin ชื่อ Diem ในปี 2020 แต่ต้องยกเลิกหลังจากถูกหน่วยงานด้านการเงินแสดงความกังวลและคัดค้านอย่างหนัก
- การขาดความโปร่งใสบางส่วน: ตามหลักแล้ว Stablecoin ควรถูกค้ำประกันด้วยเงินสดหรือสินทรัพย์ที่ปลอดภัย แต่หากไม่มีระบบตรวจสอบ ก็ยากที่จะพิสูจน์ว่าเหรียญเหล่านี้ได้รับการค้ำประกันเท่าที่อ้างไว้หรือไม่ การขาดความโปร่งใสนี้อาจนำไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรงเหมือนเหตุการณ์การล่มสลายของ TerraUSD (UST) ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทั้งตลาดคริปโท
- เงินเฟ้อของสินทรัพย์ที่ผูกมูลค่า: แม้ Stablecoin จะถูกออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบจากเงินเฟ้อ แต่มันก็ยังได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อของสินทรัพย์ที่ผูกไว้ เช่น หากเงินดอลลาร์สหรัฐมีอัตราเงินเฟ้อ 9% มูลค่าการซื้อก็จะลดลงจากที่เคยซื้อของได้ 100 ดอลลาร์ ตอนนี้อาจต้องใช้ถึง 109 ดอลลาร์แทน หนึ่งในแนวทางแก้ไขที่ถูกพูดถึงคือ Flatcoin — เหรียญที่มูลค่าผูกกับตะกร้าสินค้า (Basket of goods) แทนสกุลเงิน ทำให้ไม่ถูกเงินเฟ้อกระทบโดยตรง แม้ Flatcoin ยังอยู่ในช่วงทฤษฎีแนวคิด แต่ในอนาคตอาจกลายเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในโลก
พร้อมซื้อ Stablecoin แล้วหรือยัง?
การซื้อ Stablecoin คือ จุดเริ่มต้นสู่ตลาดคริปโทส่วนใหญ่ เพราะแทนที่จะต้องคอยจับตาความผันผวนของมูลค่าเหรียญคริปโทในสกุลเงิน Fiat ระหว่างรอจังหวะเทรด Stablecoin ช่วยให้คุณสามารถคงมูลค่าการซื้อขายไว้ใกล้เคียงเดิมระหว่างการแลกเปลี่ยนแต่ละครั้งได้ แม้ Stablecoin จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนได้ดี แต่ข้อจำกัดของเหรียญคือศักยภาพในการทำกำไรจะไม่เกินสินทรัพย์ที่ผูกมูลค่าไว้ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นแม้ผู้ถือเหรียญอาจสามารถหลีกเลี่ยงการขาดทุนหนักได้ แต่ก็ไม่สามารถคาดหวังผลตอบแทนที่สูงได้เช่นกัน
Worldcoin (WLD) เป็นสกุลเงินดิจิทัลใหม่ ที่ไม่ใช่ Stablecoin แต่มีเป้าหมายในการมอบส่วนแบ่ง WLD ฟรีให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกอย่างเท่าเทียมโดยไม่ต้องแลกกับความเป็นส่วนตัว ที่ Worldcoin เรามุ่งสร้างโลกที่ทุกคนมีอำนาจในการตัดสินใจและมีโอกาสที่เท่าเทียมกันในยุคดิจิทัล กดติดตามบล็อกของเราเพื่อรับข่าวสารและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกคริปโทเคอร์เรนซี!