เมื่อการหลอกลวงออนไลน์ทะลุจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์

8 ตุลาคม 2568 ใช้เวลาอ่าน 1 นาที

คุณยายท่านหนึ่งใน Newfoundland ได้ยินเสียงของหลานชายจากปลายสายโทรศัพท์ที่อยู่ในอาการสุดตื่นตระหนก โดยหลานร้องขอเงินประกันตัวด่วนหลังอุบัติเหตุรถชน คุณยายรีบโอนเงินกว่า $50,000 ไปทันที ก่อนจะรู้ความจริงว่า “หลานตัวจริง” ของเธอ กำลังนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศอย่างปลอดภัย คุณอาจจะสงสัยว่า แล้วเสียงที่ได้ยินนั่นล่ะ? คุณยายไม่มีทางลืมเสียงของหลานไปได้เด็ดขาด เฉลยก็คือ นั่นเป็นเสียงของหลานชายจริง แต่เป็นเสียงปลอมที่เกิดจากเลียนแบบของ AI ด้วยการโคลนต้นแบบเสียงของหลายชายจากคลิปต่าง ๆ ของเขาในโซเชียล

และภายในสัปดาห์เดียวกันนั้น ผู้เสียหายรายอื่น ๆ ในชุมชนของเธอสูญเสียเงินรวม $200,000 จากกลโกงแบบเดียวกัน สถิติพบว่า ในปี 2023 ชาวอเมริกันอายุ 60+ กว่า 100,000 คน รายงานว่าถูกฉ้อโกงเป็นมูลค่าถึง $3.4 พันล้าน—ซึ่งเพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน นี่ไม่ได้เป็นเพียงสถิติที่น่าตกใจ แต่มันสะท้อนถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของภัยคุกคามไซเบอร์: จากการขโมยรหัสผ่านไปสู่การขโมยความเป็นมนุษย์เอง

image

เมื่อระบบป้องกันการโกงในปัจจุบันรับมือไม่ไหว

บอตสายล่าเงินสาธารณะกำลังรุกหนัก

ในปี 2023 รัฐแคลิฟอร์เนีย (California) ตรวจพบการยื่นขอทุนการศึกษาปลอมกว่า 50,000 รายการที่เกิดจากกองทัพบอต แม้แต่พอร์ทัลสำหรับการยื่นเคลมเงินชดเชยทางคดีความของบริษัท Thomson Reuters ก็โดนบอตถล่มด้วยจำนวนคำร้องอัตโนมัติที่ถาโถมเข้ามาจนเหยื่อตัวจริงเข้าใช้งานไม่ได้ และไม่ใช่เพียงเรื่องทุนหรือการเงินส่วนตัวเท่านั้น แต่บอตยังสามารถบุกป่วนโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติ, สวัสดิการรัฐ หรือเงินชดเชยความเสียหายจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่า บอตกำลังแย่งดูดเงินหรือสิ่งที่ควรเป็นของ “มนุษย์จริง” ในทุกระบบ

แอบอ้าง-ปลอมตัว: ใครกันแน่ที่อยู่ปลายสาย?

การโคลนหรือปลอมแปลงเสียง (Voice Cloning) กลายเป็นภัยคุกคามสำหรับใครก็ตามที่เคยโพสต์วิดีโอของตัวเองบนโลกออนไลน์ เช่นกรณีที่ทนายความในฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia) เกือบโอนเงินประกันตัวหลายพันเหรียญให้กับ "ลูกชาย" ที่ถูกจับ หลังรับสายจากเสียงที่เหมือนจริงจนน่าตกใจ แต่นั่นไม่ใช่แค่เสียงลูกชายตัวปลอม เพราะในเคสนี้ AI ยังปลอมเสียงเป็น "ทนายความ" และ "เจ้าหน้าที่ศาล" พร้อมกันอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีกรณีที่เกิดขึ้นในฮ่องกง บริษัทหนึ่งสูญเงินไปกว่า $25 ล้านเหรียญ หลังพนักงานเข้าร่วมวิดีโอคอลกับ CFO และเพื่อนร่วมงาน…ที่กลายเป็น Deepfake ทั้งหมด เมื่อการฉ้อโกงแบบ Deepfake หลอกลวงเพิ่มขึ้นถึง 3,000% ในปี 2023 ต่อไปนี้ทุกสายโทรศัพท์และทุกวิดีโอคอลจะนำมาซึ่งคำถาม: อีกฝั่งคือตัวจริงหรือเปล่า?

โปรไฟล์ปลอมมากมายทำลายความไว้วางใจ สะเทือนทั้งโลกออนไลน์

แอปหาคู่หลายแพลตฟอร์มรายงานว่า 10-15% ของบัญชีในแพลตฟอร์มเป็นบัญชีปลอม เครือข่ายการจ้างงานต้องรับมือเรซูเม่ที่เขียนโดย AI แพลตฟอร์มรีวิวเองก็กำลังเผชิญปัญหากับแคมเปญของบอตที่อาจทำลายธุรกิจได้ชั่วข้ามคืน แม้แต่ความเห็นของผู้คนก็ไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป ย้อนไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2025 หลังแบรนด์ Cracker Barrel เปลี่ยนโลโก้ เสียงวิจารณ์ที่ถาโถมบนโซเชียลมีเดียกลับถูกพบว่า 44.5% มาจากบอต บัญชีบอตอัตโนมัติเหล่านี้เกาะประเด็นคำวิจารณ์ที่เกิดขึ้น แล้วขยายให้บานปลาย สร้างกระแสเทียมจนราคาหุ้นดิ่ง คุณคิดว่า เรา (รวมถึงธุรกิจและคอมมูนิตี้ต่าง ๆ) ยังสามารถ “เชื่อ” เสียงจากชุมชนออนไลน์ได้อยู่หรือไม่? หากความคิดเห็นหรือรีวิวมากมายเหล่านั้นอาจไม่ได้มาจากคนจริงเลย?

กระบวนการประชาธิปไตยถูกบิดเบือน

กองทัพบอตเข้ายึดระบบคอมเมนต์สาธารณะ, ปั่นโพล และสร้างขบวนการปลอมที่ดูเหมือนมีมวลชนรากหญ้าหนุนหลัง บอตยังถล่มระบบรับฟังความคิดเห็นและยื่นคำร้องของหน่วยงานรัฐด้วยความคิดเห็นหรือโหวตปลอม ทำให้ข้อมูลที่ควรใช้ตัดสินใจในเชิงนโยบายผิดเพี้ยนอย่างร้ายแรง ลองจินตนาการถึงคนเพียงหนึ่งคนที่มีฟาร์มบอต แล้วจำลองเป็นผู้มีสิทธิ์ออกเสียงนับพัน สถาบันประชาธิปไตยที่ยึดหลักหนึ่งคนหนึ่งเสียงก็ต้องพังทลายลง

การโคลมตัวตนปลอมและปล้นตัวตน

อาชญากรไซเบอร์สามารถสร้างตัวตนปลอม โดยผสมข้อมูลจริงกับข้อมูลปลอมเพื่อสร้างประวัติเครดิตหรือเปิดบัญชีอยู่ได้นานหลายปีโดยไม่ถูกจับได้ว่าเป็นตัวปลอม ระบบกู้คืนบัญชีกลายเป็นช่องทางโจมตีเมื่อนำระบบแอปโซเชียลกับสื่อปลอมมารวมร่างกัน เปลี่ยน "ลืมรหัสผ่าน" ให้กลายเป็น "ชีวิตที่ถูกขโมย"

ทำไมระบบป้องกันปัจจุบันถึงยังเอาไม่อยู่

ระบบความปลอดภัยแบบเดิมมักจะถามว่า "คุณมีรหัสผ่านที่ถูกต้องหรือไม่" หรือ "คุณรับ SMS นี้ได้หรือไม่" แต่ระบบเหล่านี้สมมติว่าคุณเป็นมนุษย์อยู่แล้ว มันอาจล็อกประตูได้ แต่ไม่เคยตรวจเลยว่า นี่เป็นคนหรือโปรแกรมสุดล้ำที่กำลังขอเดินผ่านเข้ามากันแน่ สิ่งที่เราต้องการคือการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่รากฐาน: สร้างหลักฐานความไม่ซ้ำใครของความเป็นมนุษย์ตั้งแต่ชั้นฐาน ไม่ใช่วางไว้ชั้นอื่นภายหลัง ซึ่งหมายความว่า:

  • การตรวจสอบยืนยันความเป็นมนุษย์ที่ให้ความเป็นส่วนตัวมาก่อน – พิสูจน์ว่าคุณคือมนุษย์ที่ไม่ซ้ำใครโดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ใช้เทคโนโลยีการพิสูจน์แบบเข้ารหัสเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่การเฝ้าติดตาม
  • ระบบเดียวที่เชื่อมต่อและใช้งานกับแพลตฟอร์มอื่นได้ – การยืนยันความเป็นมนุษย์เพียงครั้งเดียวที่ใช้ได้กับทุกบริการ ไม่ต้องยืนยันซ้ำหลายรอบ พร้อมป้องกันการติดตามข้ามบริการ
  • ออกแบบมาให้ปลอมไม่ได้ – ต่างจากรหัสผ่านที่อาจถูกขโมยได้ง่าย หลักฐานความเป็นมนุษย์สร้างการยืนยันที่ปลอมแปลงไม่ได้ และไม่สามารถโอนย้ายหรือสร้างตัวตนซ้ำได้
  • ทุกคนเข้าถึงได้ทั่วโลก – ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ใช้มือถือแบบไหน หรือเข้าใจเทคโนโลยีมากน้อยแค่ไหน ก็สามารถมีและใช้งานหลักฐานความเป็นมนุษย์นี้ได้
image

สร้างเครือข่ายมนุษย์จริงเพื่อฟื้นคืนความเชื่อมั่นบนโลกออนไลน์

เมื่อโลกดิจิทัลเต็มไปด้วย AI ที่ปลอมได้ทุกอย่าง “ความเป็นมนุษย์” จึงกลายเป็นสิ่งมีค่า และ World ID กลายเป็นกุญแจดอกสำคัญ หลังจากยืนยันความเป็นมนุษย์ที่ไม่ซ้ำใครเพียงครั้งเดียวสำเร็จแล้ว ทุกคนก็สามารถใช้งานแพลตฟอร์มหรือบริการต่าง ๆ ได้อย่างสบายใจว่า ผู้เข้าร่วมคนอื่น ๆ ทุกคนเป็นมนุษย์จริงเหมือนกัน

ยิ่ง AI พัฒนาเร็วมากเท่าไหร่ เวลาของเราก็ยิ่งน้อยลงในการวางรากฐานระบบยืนยันความเป็นมนุษย์ที่มั่นคง องค์กรที่ใช้งานหลักฐานความเป็นมนุษย์วันนี้จะมีความได้เปรียบในการให้บริการลูกค้าจริง ปกป้องผู้ใช้งานจริง และรักษาความเชื่อมั่นไว้ได้จริง ในยุคที่เครื่องจักรสามารถเลียนแบบมนุษย์ได้จนแทบแยกไม่ออก การพิสูจน์ว่าเราเป็นมนุษย์จริงจะกลายเป็นรากฐานของทุกปฏิสัมพันธ์ที่มีความหมายบนโลกออนไลน์

เดือนตุลาคมคือเดือนแห่งความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Awareness Month) เราขอเชิญคุณมาร่วมเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างอินเทอร์เน็ตที่มีสัมผัสของมนุษย์มากขึ้นไปด้วยกันที่ world.org